วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551

คนดีที่โลกรอ (ดร.) สนิท ศรีสำแดง

โดย พระธัญณัฏฐ์ชัย ชยฺยธมฺโม 15/11/46
กลุ่มชมรมเทวดาวิชาการ
จากกรณีย์ ที่นายเสถียรพงษ์ วรรณปก ที่ออกมาให้ข่าวว่า “จะออกกฎหมายลงโทษพระที่ต้องอาบัติร้ายแรงนั้น” ก็ไม่เข้าใจว่าท่านใช้สมองส่วนไหนคิดออกมา ความรู้ประโยค ๙ของท่าน ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับนำไปใช้ในการเทศนาอบรมสั่งสอนมากกว่าที่จะมาทำงานทางด้านนิติบัญญัติ ที่จะต้องอาศัย ความรู้ ประสบการณ์ ไหวพริบ เพื่อให้ทันเกมส์ฝ่ายตรงข้ามที่พยายามจะทำลายพระพุทธศาสนา นี่ท่านไม่รับรู้เลยหรือว่าการร่างกฎหมายทั่วไปนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อความมั่น ความสงบสุข และความสามัคคีของคนในชาติเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีนักกฎหมายชาติใดหรอก ที่เมื่อเข้าไปในรัฐสภาแล้วมีเจตนาเพื่อจะทำร้ายทำลายพวกเดียวกันเองอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ ลองศึกษาในสมัย ประธานาธิบดี ยอร์จ วอชิงตันบ้างซิ! ที่ได้ทำสงครามขับไล่พวกอังกฤษที่เข้ามายึดครอง จนรวมตัวเป็นประเทศอเมริกานั้น ก็ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่ามีนักกฎหมายที่เข้าไปในรัฐสภาแล้วจะประกาศว่า จะออกกฎหมายมาฆ่า มาทำลายพวกเดียวกัน เหมือนที่ท่านกำลังทำอยู่เช่นนี้ น่าสงสาร น่าหดหู่ สลด สมเพศใจเป็นที่สุด เพราะการกระทำในครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะ ของนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลายผู้ที่เขารู้จริง ตลอดจนบุคคลในศาสนาอื่นด้วยที่พวกเขาคงจะนอนหัวเราะจนตกเก้าอี้อยู่ในขณะนี้ก็เป็นได้ ถึงความไม่เอาไหนของ นักการศาสนาของพวกเราบางคน เพราะแทนที่จะเรียกร้อง ปกป้อง หรืออยู่เฉย ๆก็ยังดี แต่นี่กลับเข้าไปทำลายศาสนาตัวเองอย่างไม่รู้ตัว จริง ๆแล้วท่านน่าจะทราบว่าการตัดสินอธิกรณ์นี้เป็นอำนาจที่อยู่ในพุทธจักร มิใช่ อยู่ในอาณาจักร ยกเว้นว่าจะมีความผิดที่มีผลเกี่ยวข้องกฎหมายทางบ้านเมืองเท่านั้น อย่างเช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา มีความผิด เป็นอาบัติหนักคืออาบัติปาราชิก และยังผิดกฎหมายบ้านเมืองในฐานะ ฆ่าคนตายโดยเจตนา (ป.อาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙ ,๒๙๐) ซึ่งกฎหมายลักษณะที่ก็มีบัญญัติเอาไว้ใช้เป็นที่เรียบร้อยมาตั้งนานแล้วหรือความผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศก็มีกฎหมายรองรับเอาไว้แล้วเช่นกัน ท่านไม่น่าร้อนวิชาออกมาแสดงอะไรโง่ ๆ เช่นนี้ออกมาเลย...เฮ้อ กลุ้มใจจริง ๆ
ถ้าเปรียบเทียบกับนักการเมือง อย่างเช่น วินัย สะมะอูล ที่เขาเล่นการเมืองเพื่อศาสนา เล่นการเมืองเพื่ออุดมการณ์ และที่สำคัญเขาไม่โง่ เขามีความรู้ทางด้านศาสนา ทางโลก ทางกฎหมาย เมื่อเข้ามาเล่นการเมืองก็เลยใช้อำนาจการเมืองทำลายพุทธศาสนา แล้วอย่างเสถียรพงษ์นั่นหรือ จะไปสู้นั่น ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ครึ่งหน้าแข้งวินัย สะมะอูล ก็ยังไม่ได้
ทำไมคนไทยถึงไม่ยอมรับคนไทยกันเองก็ไม่ทราบ ต้องปล่อยให้ฝรั่งมาชี้นิ้วบงการบอกว่าสิ่งนี้ดีถึงจะเชื่อ ทุกวันนี้พระพุทธศาสนาถูกทำลายทุกรูปแบบ ตั้งแต่ คนนอกศาสนา คนภายในศาสนาที่โง่เง่าเต่าตุ่นไม่รับรู้อะไรนอกจากเงินและผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว ทุกวันนี้นักการเมือง นักการศาสนาชาวพุทธ นำเอาศาสนามาใช้เพื่อหากินเลี้ยงปากท้องไปวัน ๆ เท่านั้น ขาดไร้ซึ่งอุดมการณ์ และจิตสำนึก
คนไทย คือชาติที่อิสระ หมายถึงไม่ยอมขึ้นตรงต่อชาติอื่นศาสนาอื่น แต่มิใช่ไม่ยอมขึ้นตรงต่อพวกเราด้วยกัน นั่นหมายถึงรวมกลุ่มที่ไหน แตกแยกที่นั่น ทำงานอะไร ทะเลาะกันที่นั่น นี่คือความคิดที่ล้มเหลวและผิดพลาดมาตั้งแต่ในอดีต
ถึงเวลาที่เราชาวพุทธจะต้องใส่ใจ เลือกคนดี มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้าไปทำงาน เพื่อพัฒนากิจการทางพุทธศาสนา ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง ๆเช่น ท่านอาจารย์ ดร.สนิท ศรีสำแดง ไม่ใช่เฉพาะความทางศาสนาแค่เปรียญ ๙ เท่านั้น แต่ท่าน ยังมีความรู้ทางด้าน กฎหมายได้เนติบัณฑิตจากธรรมศาสตร์ และปรัชญาทางการศึกษา มีประสบการณ์การทำงานอย่างโชกโชน กล้าแลกกล้าชน ถึงลูกถึงคนทุกสถานการณ์
เราจะเห็นได้จากการทำงานเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ท่านได้ออกมาเรียกร้องเป็นคนแรกๆ อย่างเช่น กฎหมายศปส. เรียกร้องตั้งกระทรวงพุทธฯ หรือ ต่อต้านกฎหมายปฏิรูปที่ดินโกงกินที่วัด และงานอื่น ๆอีกมายมาย ท่านต่อสู้ตั้งแต่ร่างกายแข็งแรง จนร่างกายอ่อนแอลงจากการโหมงานที่หนักเกินตัว แทบจะเดินไม่ได้ ที่หน้ารัฐสภาท่านก็สู้ คลานไปท่านสู้ สู้ตายอย่างไม่คิดชีวิต แล้วคนดีเช่นนี้ทำไมพวกเราไม่ยอมสนับสนุนให้เข้าไปทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาล่ะ ถ้าจะเปรียบกับเสถียรพงษ์แล้วอย่าว่าแต่หน้าแข้งเลย แต่ขนหน้าแข้งสักเส้นเดียวก็เทียบไม่ได้
ท่านมิใช่มีวาจาที่เด็ดขาด ถึงลูกถึงคนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ท่านยังมีวาทศิลป์อันยอดเยี่ยมอย่างที่ไม่ใครเคยทราบมาก่อน จากหน้าประวัติการบันทึกเรียกร้องกระทรวงพุทธวันที่ ๒๐ กย. ๒๕๔๕ ท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถสลายความขัดแย้งทางความคิดอันรุนแรงในกรณีย์ที่ชาวพุทธได้แตกแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่วิกฤติที่สุดในการเรียกร้อง ในช่วงนั้นชาวพุทธได้ประชุมปฏิบัติธรรมเพื่อเรียกร้องกระทรวงพุทธฯ ผลออกมาไม่ได้แต่ได้สำนักพุทธฯออกมา ในช่วงนั้นมีชาพุทธกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยและจะก่อตัวขึ้นเพื่อที่จะสร้างความแตกแยกขึ้น แต่ในที่สุด ท่านสามารถใช้วาทศิลป์โน้มน้าว ชักจูงชาวพุทธที่เห็นขัดแย้งกลับมาเข้าใจได้แล้ว คนดีที่โลกรอเช่นนี้เราจะละเลยเพิกเฉยได้อย่างไร ?
ในสถานการณ์ที่ศาสนามีภัยเช่นนี้ ชาวพุทธ ต้องตื่นตัวรับรู้เหตุการณ์ และพยายามเลือกสรรคนดีเข้าไปทำงานถึงจะถูก ถ้าปล่อยให้คนมีความรู้แต่โง่เข้าไปทำงาน พุทธศาสนาคงต้องถึงการอวสานลงในเวลาอีกไม่นาน
สะใจไหม ที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่สนามบินสุวรรณภูมิ(สนามบินไทย) ไม่มีห้องพระ แต่มีห้องละหมาดเต็มไปหมด สะใจไหม ที่นายวันนอร์ อดีต ร.ม.ต.กระทรวง คมนาคม,มหาดไทย ได้นำพระพุทธออกจากกระทรวง นาย สุริ พิศสุวรรณ ได้นำพระพุทธรูปออกจากกระทรวงต่างประเทศ สะใจไหมที่โรงเรียนวิถีพุทธของเราที่ได้มาด้วยความลำบากจะต้องเปลี่ยนเป็นโรงเรียนวิถีธรรม(อิสลาม) ต่อไปประเทศไทยจะไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวพุทธถ้าเรามัวหลับใหลอยู่อย่างนี้ โคไถนาต้องเป็นโคหนุ่มที่มีกำลัง มิใช่เอาโคอ่อนมาไถนา มิฉะนั้นผืนนาจะเสีย พระพุทธศาสนามิใช่ผืนนาที่จะมาทดลองเอาคนโง่ ๆมาบริหารถ้าเป็นเช่นต่อไปจะเราไม่มีแผ่นดินอยู่ จะทำอะไรเราคงจะต้องให้พวกมันมาบงการ เมื่อไหร่ชาวพุทธจะคิดได้เสียที....


ท่านเป็นนัก ต่อสู้ ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นนัก ต่อต้านภัย พระศาสนา
ท่านเลิศล้ำ ด้วยความรู้ และปัญญา มิอาจหา ผู้ใด มาเทียมทัน
ท่านรักศาสน์ รักชาติ ยิ่งชีวิต ท่านแก้ไข สิ่งพลาดผิด ยามขับขัน
ทั้งกฎหมาย ศปส. ได้ท่วงทัน ท่านสร้างสรรค์ ความดี เพื่อสังคม
ทั้งปฏิรูป ที่ดิน กินที่วัด ที่บังอาจ ร่างขึ้นมา เพื่อถับถม
ทำลายล้าง ศาสนา ให้ล่มจม กดขีข่ม ด้วยกฎหมาย ที่ร่างมา
ท่านต่อสู้ จนสุด แรงกำลัง เปรียบดุจดัง ราชสีห์ ที่ก

















เหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา เรื่องการเรียกร้องกระทรวงพระพุทธศาสนา

ปัญหาทางศาสนานั้นเกิดขึ้นมาค่อนข้างมากมาย แต่ที่ส่งผลกระทบและทำให้ชาวพุทธ ต้องตื่นตัวอย่างมากคือ ในปี พ.ศ.2544 ที่ได้มีกฎหมายฉบับหนึ่งที่เรียกว่า สปศ. ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจคนนอกศาสนา เข้ามากำกับดูแลควบคุมองค์กรหลักของสงฆ์ได้โดยเฉพาะ มหาเถระสมาคม ก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุม ของคณะกรรมการเหล่านี้ที่มาจากทุกๆศาสนา เป็นที่หวั่นเกรงถึงความไม่ปลอดภัย จึงทำให้เกิดการเดินขบวนครั้งใหญ่ ณ ทำเนียบรัฐบาล ตึกไทยคู่ฟ้า ณ เดือนเมษายน พ.ศ.2544
เหตุการณ์ยังไม่จบแค่นั้น ทางชาวพุทธได้เรียกร้อง ให้มีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะการทำงานของกรมการศาสนานั้น ปัจจุบันค่อนข้างที่จะไร้ประสิทธิภาพ ไม่ได้ทำงานกันจริงๆจังๆกันสักเท่าไหร่ เช้าชามเย็นชามไปวันๆ จึงทำให้มีแนวคิดว่าจะน่าให้รัฐบาลตั้ง สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรอิสระ สามารถบริหารงานได้เต็มที่ และในช่วงนั้นเองรัฐบาลได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระทรวงเสียใหม่โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม เป็น 20 กระทรวง หนึ่งในนั้นมีกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่ง เป็นกระทรวงที่ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมเมืองไทย เมืองพุทธคือไม่ไม่เกียรติศาสนาพุทธ จึงได้มีการเรียกร้องให้มี กระทรวงพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย ขึ้น ประมาณ เดือนกันยายน พ.ศ.2545